อย่าทำให้ใครเสียใจ
เมื่อหลายวันก่อน แม่ยุ้ยเดินผ่านตู้เย็น ไปสุดตากับคำที่เป็นลายมือลูก เขียนไว้ในกระดานว่า “อย่าทำให้ใครเสียใจ” ก็เอ๊ะใจว่า ทำไมลูกถึงมาเขียนคำนี้ไว้ตรงนี้กันนะ กลับมาจึงได้พูดคุยกันถึงที่มาที่ไปว่า
แม่ : ปลาทู เขียนอันนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่อ่ะลูก
ปลาทู : ก็ตั้งแต่วันที่แม่ร้องไห้
แม่ : อ้าวเหรอ แล้วหนูรู้สึกยังไงหละลูกถึงได้เขียนแบบนี้
ปลาทู : หนูคิดว่า หนูจะไม่ทำให้แม่เสียใจ หนูจะทำอย่างที่สุด ไม่ให้แม่ร้องไห้
แม่ : แม่ร้องไห้ แม่เสียใจก็เป็นเรื่องธรรมดาหละลูก นี่แม่ก็ไม่เป็นอะไรแล้วเห็นไหม
แม่ : แล้วหนูโกรธพ่อรึเปล่า ที่ทำให้แม่ร้องไห้
ปลาทู : ไม่นะแม่ ก็แม่เหนื่อย แม่ก็เสียใจ แม่ก็ร้องไห้ หนูไม่ได้โกรธพ่อ
จบบทสนากันแค่นั้นคะ แต่ตัดภาพไปที่ก่อนหน้านี้ 2 วีค แม่ยุ้ยอยู่ในภาวะ เหนื่อย เครียด มึน งง สับสน กับสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ ซึ่งสรุปง่าย ๆ คือ ในการตัดสินใจละทิ้งงานประจำของแม่ยุ้ย เพื่อเลือกที่จะ “รักษาลูกและครอบครัว” เอาไว้อย่างที่ทุกคนเห็นในวันนี้ มันไม่ได้เป็นเรื่องที่สวยหรู เรียบง่าย สบายใจยิ้มแฉ่งกันได้ตลอดเวลาหรอกนะคะ
หลายคนสงสัยว่าทำไมเราถึงเลือกแบบนี้ ตอบกันให้ฟังเลยนะตรงนี้ว่า เมื่อสามปีก่อน พ่อปลาทูป่วยหนัก ซึ่งก่อนหน้าจะหนัก ก็มีอาการสะสมมาอยู่เรือย ๆ แต่เราไม่ได้ทันฉุกคิดและสังหรณ์ใจว่าจะเป็นเรื่องราวใหญ่โต จน ณ วันที่ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นคือ อาการที่เป็น ทำให้ ไม่สามารถทำงานที่ทำอยู่ได้อย่างเต็มที่ จึงเริ่มมีปัญหา แม่ยุ้ยจึงตัดสินใจให้พ่อ “ลาออก”
ช่วงนั้นแม่ยุ้ยเริ่มเปิดร้านขายของออนไลน์ขายของควบคู่ไปกับงานประจำอยู่สักพักใหญ่แล้ว พอจะมีรายได้บ้าง เลยตัดสินใจให้พ่อลาออกมาดูแลร้าน แต่ด้วยอาการที่พ่อเป็น การต้องอยู่บ้าน คนเดียว ยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลง ลูกที่ไม่มีใครดูแลใกล้ชิด ก็เริ่มมีพฤติกรรมหลาย ๆ อย่างที่ทำให้ แม่ยุ้ยต้องคิดหนัก จุดเปลี่ยนจึงเกิดขึ้น ณ เวลานั้น แม่ยุ้ยตัดสินใจลาออกมาอีกคน แล้วมาลุยกับร้านค้าออนไลน์อย่างเต็มที่ และทำอย่างอื่นเสริม เพื่อจะประคองทุกอย่างให้อยู่ได้
เราขายรถคันใหญ่ที่ใช้ มาซื้อรถคันเล็ก เราตัดทอนค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออก กินอยู่กันอย่างประหยัด แม่ยุ้ยหัดทำขนมเพื่อขายเสริมเพิ่มไปด้วย แล้วก็ใช้ชีวิตอยู่อย่างที่ทุกทราบกันทุกวันนี้ จน ณ วันนี้ พ่อของปลาทู เริ่มกลับมาทำงานได้บ้าง ยุ้ยจึงหักเหมาทำงานที่ได้ใช้ทักษะและความสามารถของพ่อที่เคยมี นำกลับมาเป็นอาชีพอีกครั้ง
แต่มันไม่ง่ายหรอกคะ สำหรับการเริ่มต้น และมันก็หนักหนาอยู่สำหรับ ผู้หญิงที่ต้องดูแลทุกอย่าง และทุกคน บอกเลยว่า บางครั้งคำว่า “ร้องไม่ออก” นี่ยุ้ยเข้าใจดีเลยทีเดียว แต่ยุ้ยก็เลิกเดินแบบนี้มาเป็นเวลา 3 ปีกว่าแล้ว มันก็เป็นธรรมดาของชีวิตนะคะ ที่จะต้องผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย แต่สิ่งที่ยุ้ยทำมาเสมอคือ “ทำทุกวันให้ดี”
หลายต่อหลายครั้งที่ยุ้ยร้องไห้ แล้วลูกเห็น ครั้งล่าสุด ยุ้ยร้องไห้ในครัว ปาดน้ำตาไป ทำกับข้าวไป แต่ยุ้ยก็ไม่เคยต่อว่าพ่อของลูกหรือใคร ๆ ให้ลูกฟังเลย ยุ้ยไม่เคยรู้สึกโทษใคร ที่ทุกอย่างเป็นแบบนี้เลยสักนิด นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ “ปลาทูไม่รู้สึกโกรธพ่อ” และยุ้ยเองก็บอกลูกอย่างที่เล่าเสมอว่า “เสียใจ เป็นเรื่องธรรมดา ทุกคนก็เสียใจได้ หนูยังเสียใจร้องไห้เลย แม่ก็ร้องไห้ได้ แถมบางทีร้องแล้วดีขึ้นด้วยซ้ำ”
อาจจะด้วยสาเหตุนี้ เวลาที่ลูกอยากได้อะไร อยากไปไหน แล้วยุ้ยให้เหตุผลว่า เรายังไม่มีเงินมากพอที่จะใช้จ่ายในเรื่องต่าง ๆ เหล่านั้น ปลาทูถึงเข้าใจแต่โดยดี และไม่งอแง ร้องไห้ ฟูมฟายที่จะอยากได้ อยากมีอะไรแบบไม่ฟังเหตุ ฟังผลสักเท่าไหร่
แต่วันนี้สิ่งที่ยุ้ยรู้สึกได้คือ ลูกรับรู้ได้ว่า “ความเสียใจ” คือสิ่งที่เราไม่ควรหยิบยื่นให้คนอื่น ซึ่งบอกเลยว่า มันคือสามัญสำนึกที่คนทุกคนควรมี คือการไม่เป็นผู้ทำร้าย ไม่ว่าจะกับใครก็ตาม ยุ้ยว่า ยุ้ยคุ้มแล้วคะ กับสิ่งที่ยุ้ยยอมแลกมา เพื่อครอบครัวของเรา
ในวันนี้ กิจการเล็ก ๆ ของครอบครัวเรา กำลังเริ่มต้น ก้าวแรก ก็คงไม่สวยงามนัก แต่เราก็ยังมีกำลังใจสู้ต่อไป Take To GOAL ของเรา ก็ยังคงเดินหน้าไปหาเป้าหมายอยู่ในทุก ๆ วัน ช้าบ้าง เร็วบ้าง เป็นไปตามจังหวะชีวิต เพราะยุ้ยมั่นใจแล้วว่า หนทางนี้มันคุ้มค่าที่ยุ้ยเลือกเดิน ลูก และพ่อที่อาการดีขึ้นเรื่อย ๆ จนทุกวันนี้แทบเป็นปกติแล้ว คือ ผลกำไรของยุ้ยคะ