เริ่มกลับมางานเยอะอีกแล้ว หรือว่าจริง ๆ ก็เยอะอยู่ตลอดนั่นหละ เลยทำให้พักนี้ต้องทำงานจนค่ำเสียเกือบทุกวัน ตอนนี้มีความรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยและเพลียกับการเจอปัญหานะ และก็ท้อใจกับปัญหาที่แก้ไม่ได้ ปัญหาที่แก้ไม่ได้แล้วทำให้ท้อใจคือ ปัญหาทีเกิดจากภูมิต้านทานความเห็นแต่ตัวของคนที่ต้องทำงานด้วย ผลประโยชน์มักจะสวนทางกับคำว่าพอเสมอ
วันนี้ได้นั่งอ่านเตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัวตอนพักกลางวัน แล้วรู้สึกว่า คนเราคิดจะเอาเข้าตัวได้อย่างไม่ต้องแนะนำจริง ๆ เลย ในทางกลับกัน การที่จะรู้จักการให้ ต้องมีการพร่ำบอกและพร่ำสอนกันน่าดู แต่..คนบางกลุ่มก็ยังโชคดีที่ ซึมซับคำพร่ำสอนในเรื่องของการรู้จักให้ คนบางจำพวก ... ไม่เห็นแม้แต่คุณค่าของความสุขที่ได้ให้ เพราะเค้าหวังที่จะเสพสุขจากความสุขในมุมของการรับเป็นอย่างเดียวเท่านั้น
==========
ได้คุยกับพี่คนนึงที่ออฟฟิต ซึ่งพี่คนนี้ศรัทธาใน เชกรูวารา (ไม่รู้เขียนถูกไหม) นั่งถกกันเรื่อง การรักษาศีล .. คุยกันไปคุยกันมา ก็ขำอ่ะนะ เพราะมันคนละเส้นทางกันเลย .. พี่เค้าถามว่ายุ้ยรักษาศีลได้กี่ข้อ .. ก็นั่งนับนิ้วกันเลยทีละข้อ ฆ่าสัตว์รึเปล่า .. พี่ว่ายุ้ยต้องตบยุง เหยียบมดบ้างหละ ยุ้ยเอาของผู้อื่นมาเป็นของเราบ้างไหม .. พี่ว่ายุ้ยน่ะ เอานมวัวมากินน่ะ วัวยกให้ยุ้ยแล้วเหรอ หรือว่ายุ้ยเอาไข่มากินน่ะขโมยลูกเค้ามานะ ผิดลูกผิดเมียคนอื่นรึเปล่า ข้อนี้..ยุ้ยตอบอย่างมั่นใจว่า ยุ้ยไม่เคยแน่ ๆ ข้อมุสา ฯ เนี้ย ไม่สามารถทำได้เพราะออกไปหาลูกค้าทีไร ข้อนี้ขาดสะบั้นทุกที ข้อสุดท้าย ท้ายสุดเนี้ย .. ถ้าไม่มีงานสังสรรค์ ก็ทำได้นะ
คือว่า ยุ้ยไม่เคยได้นึกถึงเรื่องการขโมยนมมาจากวัว และการขโมยลูกของไก่มากินเลยนะเนี้ย ฟังแล้ว .. เออว่ะพี่ .. ยุ้ยว่าพี่น่าจะไปรบด้วยใจแบบเชกรูวารานะ..พี่คิดได้แบบเนี้ย .. แต่พี่หนึ่งตบท้ายได้ถูกใจยุ้ยมาก .. เชกรูวาราน่ะ รบด้วยใจนะยุ้ย
ยุ้ยก็พยายามจะเข้าใกล้ศีลด้วยใจค่ะพี่หนึ่ง
19 ต.ค. 2547
เวลา 13:04 น.
|