จะอยู่ในระบบการศึกษา ให้มีความสุขได้อย่างไร ?
🎯 สิ่งที่ทุกคนกำลังจะอ่านต่อไปนี้ คือความคิดเห็นจาก แม่ยุ้ย เท่านั้นนะคะ จุดประสงค์เพียงต้องการจะแชร์สิ่งที่คิด สิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้ เผื่อว่ามุมมองของแม่ยุ้ยจะทำให้ เกิด “ความสุข” ของเด็ก ๆ และคุณพ่อคุณแม่ท่านอื่น ๆ ได้บ้าง
✅ ด้วยความเชื่อที่มีเสมอมาว่า ” ทุกอย่าง ปรับได้ที่ใจเรา ” จะสุขหรือทุกข์นั้นอยู่ที่ ความคิดและมุมมองของเราเป็นหลัก เราก็ใช้ความเชื่อนี้กับเรื่องการเรียนของลูกเช่นกันค่ะ
✅ เราไม่มีความพร้อมมากพอที่จะ กระโดดออกจากระบบการศึกษาไทย ไปใช้ระบบการศึกษาอื่น ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนอินเตอร์ในไทย หรือการส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ ณ เวลานี้ และเราก็ไม่สามารถที่จะทำ Home School ได้ด้วย เราจึงคิดกันว่า เราจะต้องหาวิธีอยู่กับระบบการศึกษาไทย ให้ได้อย่างไม่ทุกข์ใจ และสามารถมีความสุขได้ด้วย ทุกอย่างจึงเริ่มต้นขึ้น
✅ ทุกระบบ ทุกสิ่ง ทุกอย่าง มีทั้งข้อดี และ ข้อเสีย ควบคู่กันไปทั้งหมดค่ะ ไม่ว่าจะโรงเรียนแบบไหน หรือระบบแบบไหนก็ตาม แม่ยุ้ยคิดแค่ว่า เรายอมรับในข้อเสียตรงไหนได้ เราก็อยู่ตรงนั้น เราเห็นข้อดีข้อไหนที่ทำให้เราได้รับประโยชน์ เราก็อยู่ตรงนั้น ใช้วิธีนี้ในการเลือกโรงเรียนให้ลูก และลูกก็เรียนในโรงเรียนหลายแบบ หลายหลักสูตรมา ช่วงวัยไหน ลูกเรา เหมาะกับแบบไหน เราก็เรียนแบบนั้น แม่ยุ้ยโฟกัสที่ช่วงวัยลูกในแต่ละช่วงวัยเป็นหลัก และใช้ “ลูกเรา” เป็นตัวชี้วัดเป็นหลักด้วย ไม่ได้เอาตัวเราเป็นตัวชี้ทั้งหมด ไม่ได้เอาลูกคนอื่น เป็นตัวตัดสินใจด้วยเช่นกัน
😊 ทำความเข้าใจในตัวลูกเราค่ะ ลูกเราถนัดแบบไหน อยู่ตรงไหนแล้วแฮปปี้ เราต้องคอยสังเกต แต่ทุกชีวิตไม่ได้มีช่วงเวลาที่จะลั้นลาได้ตลอด ต้องเจอเรื่องแย่ เรื่องไม่ดีได้เสมอ แต่เวลาที่เกิดเรื่องไม่ดี เรามองดูนะคะว่า ปัญหาเกิดจากตรงไหน เราแก้ไขได้ไหม โรงเรียนควรมีส่วนร่วมแก้ไขไหม ค่อย ๆ แก้ไขกันไป สอนลูกเราด้วยเช่นกันค่ะว่า ” ทุกที่มีปัญหาหมดนะ” สุดท้ายมันคือตัวเรานี่หละลูก พร้อมจะแก้ไขปัญหาเดิมในที่เดิมไหม หรือคิดว่ามันหนักหนา เกินกำลัง เราแก้ไขไม่ได้ด้วยตัวเราหรือเปล่า หรือถ้าเราปรับ เราเปลี่ยนบางอย่างบ้าง เราก็จะอยู่ได้
✅ สังคมคาดหวังที่จะเห็นผลลัพธ์ที่ดี แต่สำคัญที่ตัวเราค่ะ เราต้องเข้าใจธรรมชาติว่า “ทุกอย่างไม่ได้ดีไปหมด” เด็กเก่ง มักจะได้รับการยอมรับและชมเชย เด็กไม่เก่งไม่ใช่จุดอ่อน แม่ยุ้ยเชื่อเสมอว่า คนทุกคนมีสิ่งที่เก่งติดตัวมาด้วยอย่างน้อยก็อย่างหนึ่ง แค่เราค้นหาให้เจอ และมองให้ออก เราค้นหาสิ่งเหล่านั้นให้เจอ ใกล้ชิดลูกไว้ รับฟังและเข้าใจ คุณจะค้นพบได้เอง
✅ คุยกันถึงเป้าหมายเรื่องการเรียนของลูกกับคนในครอบครัวและตัวลูกเองให้เราเข้าใจตรงกัน มีเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน และในเป้าหมายนั้น ” ต้องคิดเสมอว่า มันคือ ชีวิตของลูก ” ไม่ใช่ชีวิตของเรานะ ให้เขาได้มีส่วนร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ และร่วมฟันฝ่าอุปสรรคเพื่อเป้าหมายนั้นเป็นหลัก โดยมีเราอยู่เคียงข้างคอยสนับสนุน
✅ หยุดเปรียบเทียบให้ได้ คุณจะเป็นสุข ท่องไว้เสมอว่า นี่ลูกเรา ไม่ใช่ลูกคนอื่น ลูกคนอื่นทำได้ ไม่ได้แปลว่าลูกเราจะต้องทำได้ทุกอย่างเหมือนลูกเขานะคะ
✅ เกรดเฉลี่ย คะแนนสอบ เป็นตัวชี้วัดหนึ่งในการรู้จักรับผิดชอบในหน้าที่ของการเรียน ไม่ใช่ตัวชี้อนาคตว่า จะล้มเหลว หรือสำเร็จ ใช้เรื่องนี้ค่อย ๆ สอนลูกในเรื่องของความรับผิดชอบ และความตั้งใจ ความพยายามค่ะ แต่ต้องไม่ลืมเรื่อง ความสามารถด้านอื่น ๆ ก็สำคัญไม่แพ้กันนะ
😊 สุดท้าย จะสอบได้ หรือสอบตก สอบติด หรือสอบไม่ติด ชีวิตก็ยังต้องไปต่อ มองให้ดี เรื่องเหล่านี้เราสอนลูกได้หลายมุมมองเลยทีเดียว ประเมินกำลังตัวเอง ประเมินกำลังลูก และสร้างกำลังใจ พร้อมเป็นที่พักใจให้ลูกเสมอ
ปล. อย่าเครียดเสียเองจนทำให้ลูกต้องเครียดไปด้วยนะคะคุณพ่อ คุณแม่ทั้งหลาย ท่องไว้ว่า ทุกคนที่มีความสุขในอาชีพรอบตัวเรา ไม่ใช่คนที่สอบได้คะแนนดีทุกวิชาและทุกปี หรือสอบติดทุกสถาบัน แต่เขาคือคนที่รู้จักว่าตอนไหนต้องทำอะไร ตอนไหนควรพัก ตอนไหนควรเร่ง อันไหนต้องปล่อย อันไหนต้องคว้า
การเรียนรู้ ไม่ใช่แค่เรื่องเรียนในห้องเรียนเท่านั้นค่ะ โลกทั้งใบ คือห้องเรียนห้องใหญ่ของลูก และเราด้วยเช่นกัน
#แม่ยุ้ยThePlatuStory