ใช้ประกันสังคม ผ่าเนื้องอกที่หน้าอก
การผ่าตัดเนื้องอกครั้งล่าสุดนี้ เป็นการผ่าตัดครั้งที่ 3 นะคะ
แม่ยุ้ยมีเนื้องอกที่หน้าอกตั้งแต่เริ่มทำงานใหม่ ๆ เลยค่ะ ซึ่งการผ่าตัดครั้งแรก ผ่าที่ ร.พ. รัฐบาลแห่งหนึ่ง ตั้งแต่ปี 2543 ซึ่งการผ่าตัดครั้งนั้น เป็นการผ่าตัดโดยใช้การฉีดยาชา ผ่าเสร็จแล้วกลับบ้านเลย และหลังจากนั้นก็มีการผ่าตัดครั้งที่ 2 เมื่อประมาณปี 2548 ครั้งนี้ผ่าตัดที่ ร.พ.ทหารแห่งหนึ่ง ขอคุณหมอผ่าแบบวางยาสลบ เพราะประสบการณ์จากการผ่าตัดครั้งแรก ไม่ค่อยสวยงามเท่าไรนัก และหลังจากปี 2548 ก็ได้มีการตรวจ เพื่อ follow up เนื้องอกเป็นประจำทุกปีนะคะ ซึ่งจาก ร.พ.ทหารที่ผ่าตัด คุณหมอที่ท่านผ่าตัดให้ ได้ลาออก แม่ยุ้ยเลยย้ายมา follow up ที่ ร.พ.เอกชนแห่งหนึ่งใกล้ ๆ ที่พัก จนมาเจอคุณหมอที่ผ่าตัดให้ มาประจำที่ ร.พ.เอกชนแห่งนี้โดยบังเอิญ ซึ่งไม่น่าจะบังเอิญได้ขนาดนั้นเลยจริง ๆ หลังจากนั้น ก็ตรวจกับคุณหมอท่านนี้มาตลอด
ซึ่งการตรวจนั้นจะทำปีละ 1 ครั้ง โดยการซื้อแพคเกจตรวจหน้าอก + แพคเกจตรวจมะเร็งปากมดลูกที่จะมีโปรโมชั่นในช่วงเดือนสิงหาคม เป็นประจำทุกปี ค่าใช้จ่ายประมาณปีละ 5 พันกว่าบาทได้ค่ะ คุณหมอก็จะอธิบายตลอดว่า เนื้องอกที่มีนี้ มันมีหลายก้อนมาก บางช่วงก็ 5 ก้อน บางช่วงก็ 7 บางช่วงก็พีคสุดขึ้นมาถึง 10 ก้อนเลย แต่ขนาดยังไม่ใหญ่เกิน 2 cm และหน้าตายังไม่ดูน่ากังวลนัก ยังมีผิวโดยรอบเป็นลักษณะเรียบ ๆ ไม่น่ากลัวที่จะกลายเป็นเนื้อร้ายแต่อย่างใด แต่ก็ควรตรวจเป็นประจำไว้ทุกปีอย่างสม่ำเสมอ จนคุณหมอท่านนี้ลาออกจาก ร.พ.นี้ แต่ก็ได้ฝากให้คุณหมออีกท่านดูแลแม่ยุ้ยแทน ซึ่งก็ดูแลกันมายาวจนปีล่าสุด
ระหว่างทางของแต่ละปี ก็จะมีช่วงเวลาที่เนื้องอก เพิ่มขนาด เพิ่มจำนวน ปีไหนเป็นแบบนั้น คุณหมอก็จะนัดตรวจถี่ขึ้น เป็นทุก 3 เดือน ทุก 6 เดือน แต่ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่น่ากังวลก็จะตรวจกันทุก 1 ปีเป็นปกติ จนปีนี้ เนื้องอกนั้นมีขนาดเกิน 2.0 cm น่าจะประมาณ 2.5 cm ได้ และรูปร่างเริ่มไม่กลมแล้ว คุณหมอเลยค่อนข้างกังวลและแนะนำให้ “ทำการผ่าตัดเอาออกมาตรวจ” ว่าเป็นเนื้อร้ายหรือไม่ ซึ่งพอแม่ยุ้ยอายุครบ 40 ปี คุณหมอก็จะแนะนำให้เราทำแมมโมแกรม ควบคู่ไปกับการทำอัลตราซาวด์ด้วย
หลังจากที่คุณหมอแนะนำให้ผ่าตัด แม่ยุ้ยก็เลยคุยกับคุณหมอดีกว่าว่า ถ้าย้ายไปผ่าตัดที่ ร.พ.ที่ทางเราทำประกันสังคมไว้ ได้ไหมคะ ขอประวัติและใบรับรองแพทย์จากคุณหมอไปด้วย คุณหมอน่ารักมาก รีบจัดการเอกสารทั้งหมดให้ พร้อมกับดำเนินการสำเนาเรื่องการขอประวัติการรักษาทั้งหมดให้ทางเรานำไปติดต่อ ร.พ.ที่จะไปใช้สิทธิ์
ทำไมคิดว่าจะใช้ประกันสังคมผ่าตัด ?
ความคิดแรกที่เกิดขึ้นคือ ถ้าก้อนเนื้อที่อยู่ในตัวเราเป็น “มะเร็ง” การรักษามะเร็งใน ร.พ.เอกชนนั้น ค่าใช้จ่ายสูงมาก ๆ แน่นอน แล้วแม่ยุ้ยคือมนุษย์ที่ไม่สามารถทำประกันสุขภาพในส่วนของหน้าอกได้นะคะ เพราะเรามีประวัติการผ่าตัดมาตลอดเป็นระยะ ประกันสุขภาพเขาไม่รับค่ะ ซึ่งข้อนี้เรารู้ดีอยู่แล้ว ว่าเราไม่มีประกันที่จะช่วยในเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนนี้ได้เลยถ้าเราเป็นมะเร็งขึ้นมาจริง ๆ ดังนั้น “ประกันสังคม” คือสิ่งเดียวที่จะช่วยผ่อนเบาค่าใช้จ่ายในการรักษาได้ถ้ามันคือ “มะเร็ง”
และการจะไปเริ่มต้นเข้าระบบการรักษาของประกันสังคม ก็น่าจะเป็นช่วงเวลานี้น่าจะเหมาะที่สุด เพราะไปตั้งแต่เราพบสิ่งผิดปกติ ซึ่งอาจจะใช่หรือไม่ใช่มะเร็งก็ได้ ซึ่งบอกตรง ๆว่าแม่ยุ้ยไม่มีข้อมูลอะไรเลย ไม่รู้ว่าเราจะจ่ายส่วนต่างเพื่ออัพเกรดเซอร์วิสได้ไหม หรือเราไม่ต้องจ่ายเงินใด ๆ เลย แต่ก็ตัดสินใจว่า ลองไปดู ถ้ามันไม่เวิร์ก เราค่อยหาทางกันอีกที
เริ่มต้นเข้าสู่ระบบการรักษาด้วยประกันสังคม
แม่ยุ้ยเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ค่ะ คือหลังจากออกจากงานประจำ ก็ไปยื่นขอใช้สิทธิ์ผู้ว่างงาน ซึ่งช่วงนั้นก็ได้รับเงินสมทบจากประกันสังคมมาจำนวนหนึ่งจำไม่ได้แล้วว่าเท่าไหร่นะ แล้วหลังจากนั้นเราก็ติดต่อขอต่อประกันสังคมแบบที่เราเป็นผู้จ่ายเงินประกันตนเองมาตลอด ซึ่งแม่ยุ้ยจ่ายเงินให้ประกันสังคมอยู่เดือนละ 432 บาท มาเป็นเวลา 6 ปีได้ค่ะ หลังจากงานประจำ
การเข้ามารับการรักษาในระบบประกันสังคม เรามาด้วยความตั้งใจและเตรียมใจมาแล้วว่า “คนต้องเยอะแน่ ๆ ” และ “ขั้นตอนและกระบวนการต่าง ๆ คงไม่ได้สะดวกสบายแบบ ร.พ.เอกชน” เลยทำให้เราไม่ร้อนรน และรู้สึกอึดอัดที่ต้องรอนาน เพราะคิดไว้เสมอว่า ถ้าไม่อยากรอ กำเงินแสนไปผ่านที่ ร.พ.เดิม ได้ผ่าเลยทันที แต่นี่อาจจะไม่เสียเงิน ก็รอกันไปนะ เริ่มต้นคือเราต้องไปติดต่อว่าเรานำประวัติการรักษามาด้วย เพื่อขอตรวจเนื้องอกที่หน้าอก
เราจะต้องพบหมอทั่วไปก่อน 1 ครั้งนะคะ เพื่อเป็นการตรวจเบื้องต้นก่อนว่า สิ่งที่เราแจ้ง หรือเราเป็น มันใช่ไหมยังไง หลังจากนั้นถึงจะทำการนัดหมอเฉพาะทางให้ค่ะ ซึ่งครั้งแรกแม่ยุ้ยไป หมอทั่วไปก็นัดหมอศัลยกรรมให้ ได้คิวประมาณ อีก 20 กว่าวันถัดมา ในวันแรกที่ไปก็ให้เราไปติดต่อนำประวัติการรักษาที่ถือมาจาก ร.พ.เดิม เข้าระบบของ ร.พ.นี้
วันนัดที่จะได้เจอคุณหมอศัลยกรรม เราก็ถือสำเนาเอกสารประวัติติดมือมาด้วย แล้วสิ่งที่ได้รู้คือ คุณหมอตรวจคนไข้วันละ 60 คนค่ะ ไม่น้อยเลยนะ ซึ่งไม่รู้ว่า 60 คนนี้เฉพาะภาคเช้าอย่างเดียวหรือเปล่า แต่จะมีคิวขึ้นตารางไว้ที่หน้าห้องเลย 60 คิว คำถามคือ เรานั่งรออย่างเดียวยังเมื่อยเลยนะ หมอนี่ตรวจไปด้วย แล้วตรวจจนครบด้วย อ่านหนังสือรอชิว ๆ ไปค่ะ เห็นใจคุณหมอเลยทีเดียว
คุณหมอนัดวันผ่าตัดหลังจากวันที่ตรวจห่างกันอีก 1 เดือนค่ะ เพราะมีคิวผ่าตัดเร็วที่สุดช่วงนั้น การตรวจในครั้งแรกและครั้งที่ 2 ไม่เสียค่าใช้จ่ายเลยนะคะ ตรวจเสร็จกลับบ้านได้เลย เจ้าหน้าที่ทำใบนัดวันมาผ่าตัดให้ พร้อมแจ้งว่า ให้มาก่อนเวลาสัก 1 ชั่วโมงนะคะ มาเตรียมตัว ซึ่งการผ่าตัดของแม่ยุ้ยคือการใช้ยาชา ไม่ได้วางยาสลบนะคะ ผ่าเสร็จแล้วกลับบ้านได้เลยค่ะ
คุณหมอแนะนำว่า การใช้ยาชา เสี่ยงน้อยที่สุด เพราะการใช้ยาสลบก็จะมีอาการข้างเคียงและภาวะเสี่ยงมากว่า ยาชานี่หละ ปลอดภัยที่สุด เสี่ยงน้อยที่สุดแล้ว ซึ่งคุณหมอที่ผ่าตัดให้แม่ยุ้ย เป็นคุณหมอที่เราเคยพบกันมาก่อนแล้ว คุณหมอเคยฉีดยาให้ปลาทูตอนปลาทูถูกแมวข่วน แต่เราไปเจอคุณหมอที่ตึกปกติแบบเสียค่ารักษา แต่คุณหมอคงจำพวกเราไม่ได้แน่ ๆ แต่อย่างน้อยเราก็อุ่นใจว่า “คุณหมอน่ารัก คุยดี อธิบายละเอียดและเป็นคุณหมอที่มีประสบการณ์”
วันผ่าตัดมาถึง … ทุกอย่างราบรื่นดี
วันผ่าตัดเรามากัน 3 คนพ่อแม่ลูก แต่เช้าตรู่ เพราะช่วงเวลาที่คุณหมอนัด เป็นช่วงที่ปลาทูปิดเทอมพอดี ทุกอย่างลงตัวค่ะ ไม่ต้องห่วงว่า จะต้องรีบไปรับลูกกลับจาก ร.ร. ก็ไปรายงานตัว เตรียมต่อคิว เจ้าหน้าที่ก็ให้ไปทานข้าวให้เรียบร้อย สำหรับมื้อเที่ยงไว้ เพราะเราไม่ได้วางยาสลบ ทานข้าวได้ปกติ แม่ยุ้ยได้คิวผ่าตัด 13.00 น. ค่ะ คุณพยาบาลก็จะมีขั้นตอนในการเรียกให้มารอเป็นระยะ และส่งขึ้นห้องผ่าตัดก่อนเที่ยงกว่า ๆ แล้วก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า นั่งรอหน้าห้องผ่าตัด วันนั้นคุณหมอที่ผ่าตัดแม่ยุ้ยมีคนไข้ผ่าหลายคนมาก และแต่ละเคสก็ไม่ได้เสร็จตามเวลา เจ้าหน้าที่ห้องผ่าตัดก็จะคอยออกมาแจ้งเป็นระยะว่า คุณหมอยังไม่เสร็จนะคะ เหลืออีกกี่คนก่อนหน้าเรา แม่ยุ้ยได้เข้าผ่าตัดตอนประมาณ 16.00 นะ และออกมาประมาณ 18.00 น. เข้าใจเลยค่ะว่า ทำไมแต่ละเคสช้ากว่าเวลาที่กำหนด เพราะมีเหตุการณ์ที่ทำให้เปลี่ยนแปลงแผนการผ่าตัดได้ตลอดจริง ๆ แม้แต่เคสแม่ยุ้ยเอง คุณหมอวางแผนว่าจะผ่าตัดก้อนเนื้อที่มีขนาดใหญ่ออกมาจากหน้าอกข้างละ 1 ก้อน ทั้ง 2 ข้าง แต่พอเปิดแผลเข้าไปแล้ว พบว่า มีก้อนที่ใหญ่พอ ๆ กันอยู่ด้านหลัง ลึกลงไป คุณหมอก็ผ่าตัดเอาออกมาด้วย จากแผนที่จะผ่าแค่ข้างละ 1 ก้อน ก็เป็นข้างละ 2 ก้อน สรุปผ่าออกมาทั้งหมด 4 ก้อน ซึ่งแม่ยุ้ยค่อนข้างประทับใจในเรื่องของการใส่ใจของคุณหมอมาก ๆ นะคะ คุณหมอจะบอกตลอดว่า ตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ เจออะไร แล้วจะทำอะไรนะ
ผ่าตัดเสร็จเปลี่ยนชุด เดินลงมาจากห้องผ่าตัด ไปการเงิน จ่ายค่าพลาสเตอร์กันน้ำไป 100.- และก็รับยากลับมาบ้าน ได้ยาฆ่าเชื้อ และยาแก้ปวดกลับมาค่ะ เสียเงินไป 100 บาทเท่านั้นเลย
แผลผ่าตัด สวยงาม และไม่อักเสบ
ประสบการณ์ในการผ่าตัดมาแล้ว 2 ครั้งทำให้แม่ยุ้ยได้รู้ว่า แผลผ่าตัด มีการอักเสบได้ เพราะเราเคยเจอมาแล้ว และถ้าอักเสบมันต้องรื้อ ต้องแก้กัน เจ็บตัวต่ออีกยาว ๆ ไป การผ่าตัดครั้งแรกแม่ยุ้ยซาบซึ้งกับคำว่า แผลมีปัญหา มาแล้ว รอบที่ 2 ถึงขอผ่าแบบวางยาสลบ แต่รอบนี้บอกตามตรงว่า มีแอบลุ้นเหมือนกันแต่พอได้คุยกับคุณหมอคนที่จะผ่าให้ ทำให้เราอุ่นใจขึ้นมาก แต่ก็แอบเผื่อใจว่า ถ้าเราไม่โชคร้ายก็คงโอเค และทุกอย่างก็ราบรื่นดีค่ะ แผลผ่าตัดแห้งดี คุณหมอนัดเปิดแผลหลังจากผ่าตัดประมาณ 10 วันพร้อมฟังผลการตรวจชิ้นเนื้อด้วย ผลออกมาเป็นเนื้องอกปกติ ไม่ใช่มะเร็ง ก็โล่งอกกันไป
การใช้ประกันสังคมรักษา ก็ไม่ได้แย่นะคะ
เรียกว่า รู้สึกดีกับการรักษาของคุณหมอ และเข้าใจอารมณ์ของเจ้าหน้าที่หลาย ๆ ท่านนะคะ แต่จะบอกว่า แม่ยุ้ยเจอแต่เจ้าหน้าที่น่ารักนะ พูดจาดี ไม่ได้พูดจาไม่ดีเลย อาจจะเพราะเราเข้าใจและรู้อยู่แล้วว่าเราต้องรอ ไม่ได้ไปเร่ง ไปถามซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าเมื่อไหร่จะถึง จะต้องรออีกนานไหม เราแค่เอาหนังสือติดมือไปเล่มหนึ่ง อ่านรอไปค่ะ ถึงเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น แค่นั้นเอง แค่เห็นเขาทำงานกันเหนื่อยเราก็เห็นใจแล้วหละ
ถือว่า การตัดสินใจของแม่ยุ้ย ไม่พลาดนะคะ เราอาจจะเสียเวลาในการรอสักหน่อย แต่เราไม่ต้องเสียเงินหลายหมื่นกับการผ่าตัดครั้งนี้ แล้วเราได้รับการรักษาที่ดีด้วย และที่สำคัญหลังจากนี้ จะมา follow up ที่ ร.พ.ประกันสังคมนี้ต่อกับคุณหมอท่านที่ผ่าตัดให้นะคะ คุณหมอนัดตรวจอีกที 6 เดือนหน้า ซึ่งเรียกได้ว่า เราไม่ต้องไปซื้อแพคเกจตรวจที่ ร.พ.เอกชนเดิมแล้วค่ะ
อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือ ก็ไม่ได้ขี้เหร่นะคะ ร.พ.ประกันสังคมที่แม่ยุ้ยเลือก เป็น ร.พ.เอกชนที่ใกล้บ้าน เดินทางง่าย ใช้เวลาไม่นาน เรียกได้ว่า เราใช้บริการด้วยความเข้าใจ และไม่คาดหวังอะไรมากเกินที่ควรจะเป็น เราก็รู้สึกโอเคนะ ถ้าอนาคตจะต้องเจอ มะเร็งจริง ๆ แม่ยุ้ยก็คงใช้ประกันสังคมรักษานี่หละคะ
หวังว่าการเล่าประสบการณ์ให้ฟังครั้งนี้ อาจจะเป็นประโยชน์กับคนอื่น ๆ บ้างนะคะ และทางที่ดีที่สุด เราควรดูแลสุขภาพเราดี ๆ กันนะคะ แม่ยุ้ยเองหลังจากนี้ก็ปฎิวัติตัวเองหลาย ๆ อย่างไว้จะมาเล่าให้ฟังนะ
#แม่ยุ้ยThePlatuStory