ชวนลูกวางแผนการเรียนระดับมัธยม
เปิดเรียน พ.ค.2561 ปลาทูจะขึ้นชั้น ป.5 ซึ่งเพื่อน ๆ ที่เกิดในปีเดียวกัน บางคนกำลังจะขึ้น ป.6 แล้ว สำหรับปลาทู เกิดหลัง พ.ค. แม่ยุ้ยเลือกให้เรียนแบบตามเกณฑ์ ไม่ได้ดันให้ขึ้นไปรวมกับเด็กที่โตกว่า เพราะเราก็ดูความพร้อมของลูกเราเป็นหลัก แล้วอีกอย่าง เราปรึกษากันแล้วคิดว่า เวลา 1 ปี ถ้าลูกจะเรียนช้ากว่าเพื่อน ไม่น่าจะมีผลอะไรเมื่อโตขึ้นไปหรอก แต่ความมั่นใจ ความพร้อมในวัยเตรียมอนุบาล วัยอนุบาลสำคัญกว่า เราจึงเลือกแบบนั้น
ตอนนี้แม่ยุ้ยได้ข้อมูลจากทางโรงเรียนเรื่องการวางแผนของลูกในระดับมัธยม ซึ่งทางโรงเรียนประชุมผู้ปกครองและแจ้งข้อมูลต่าง ๆ ให้เตรียมตั้งแต่ ปีขึ้น ป.4 ที่เราย้ายโรงเรียนมาแล้วว่า “ให้เช็คว่าบ้านเราอยู่ในเขตพืิ้นที่บริการ” ของโรงเรียนไหน ? ซึ่งการจะเป็นเด็กในพื้นที่ จะต้องอาศัยอยู่ในทะเบียนบ้านในเขตของโรงเรียนเป็นเวลา 2 ปี โดยที่จะต้องมี พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย เป็นเจ้าบ้าน และใครที่อยากจะเรียนที่ไหนแล้วคิดว่าต้องการจะย้ายไปเป็นเด็กในพื้นที่ก็ควรทำตั้งแต่ปี ป.4 เลย
ปิดเทอมนี้แม่ยุ้ยเลยชวนปลาทูคุยเรื่องโรงเรียนมัธยมที่ลูกอยากเรียน ซึ่งครอบครัวเราใช้เหตุผลหลักในการเลือกโรงเรียนเหมือนเดิมคือ “ใกล้บ้าน” ซึ่งพอใช้เหตุผลนี้ในการเลือกเป็นข้อแรก ซึ่งเราก็อยู่ในพื้นที่บริการของโรงเรียน แม่ลองหาข้อมูลดูของการสอบคัดเลือกปีล่าสุดนี้
คุยกันว่า ลูกโอเคไหนที่จะเรียนใกล้บ้าน ? ลูกโอเค … เรื่องค่าใช้จ่ายในการเรียนของที่นี่ แม่และพ่อโอเค เพราะเป็นโรงเรียนรัฐบาล ซึ่งจริง ๆ ก็ทำให้เราประหยัดกว่าสมัยเรียนโรงเรียนเอกชนแน่ ๆ จะมากจะน้อยก็แล้วแต่แต่ละที่และแต่ละช่วง ซึ่งแม่ก็อธิบายเหตุผลนี้ให้ปลาทูฟังว่า โรงเรียนรัฐบาล แม่ใช้เงินในการจ่ายค่าเรียน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ถูกลง เราน่าจะมีเงินเหลือมากขึ้นด้วย
ด้วยเหตุผลหลัก 2 ข้อนี้ เราจึงสรุปกันได้ว่า เป้าหมายระดับมัธยมของปลาทูคือ โรงเรียนรัฐบาลใกล้บ้าน ซึ่งเป็นโรงเรียนแข่งขันสูง แต่เราก็มีสิ่งที่จะต้องเตรียมตามมาคือเรื่องของการ “สอบแข่งขัน” ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับ ปลาทูเฮฮาสายบันเทิงของแม่ยุ้ย ที่เพิ่งเคยรู้จักลำดับที่ในการสอบเมื่อชั้น ป.4 ไม่เคยเรียนพิเศษ ติวเข้มที่ไหนเลยนอกจาก พ่อและแม่
แม่ยุ้ยเลยค่อย ๆ อธิบายให้ปลาทูฟังว่า โรงเรียนใกล้บ้านเราที่ เราตั้งเป้าหมายไว้นั้น เขาต้องทำการทดสอบเด็ก ๆ ที่จะเข้าไปเรียนด้วย “ผลการเรียน” และ “คะแนนการสอบคัดเลือก” เพื่อจะแน่ใจว่า เด็กที่เข้ามานั้น จะเรียนในแบบที่โรงเรียนเขาสอนได้ เราทุกคนก็ต้องเตรียมตัว เพราะเราจะต้องไปสอบแข่งกับคนอื่น โดยที่โรงเรียนจะรับนักเรียนตามจำนวนที่เขาต้องการ จากคนสมัครมากมาย ซึ่งการสอบคัดเลือกเข้า ม.1 เป็นเรื่องที่เด็ก ๆ ต้องผ่านจุดนั้นกันมา พ่อกับแม่ก็เคยสอบนะ สมัยแม่มีจับฉลากด้วย แต่แม่จับไม่ได้ เลยต้องไปสอบอีกที มันไม่ได้น่ากลัวอะไร ถ้าเราเตรียมตัวของเรามาอย่างเต็มที่
ปลาทูเริ่มมีภาพในหัวบ้าง จากการได้ย้ายโรงเรียนมาเรียนที่นี่ เพราะมีการจัดลำดับคะแนนทุกการสอบ ซึ่งจะมีทั้งหมด 4 ครั้งต่อปี จัดทั้งในห้อง และในระดับชั้น เริ่มเข้าใจว่า อ๋อ !!! เราจะได้รู้ว่าตัวเราเรียนได้ประมาณไหน ? ยังต้องปรับปรุงอะไรอีกไหม ? และสิ่งที่แม่บอกเพิ่มคือ สำหรับลูกแม่ เราไม่ได้เรียนพิเศษที่ไหน หนูทำการบ้านเอง อ่านหนังสือเอง วางแผนการอ่านหนังสือเอง ซึ่งแม่ว่า ผลลัพธ์ที่ออกมา มันคือสิ่งที่หนูจะรู้แล้วว่า สิ่งที่คิด ที่ทำมันเวิร์กพอไหม หนูจะทำได้ดีกว่านี้อีกไหม ? แม่ยังคงยืนยันคำเดิมว่า “เราจะไม่บังคับให้ลูกเรียนพิเศษใด ๆ ทั้งสิ้น” แค่แม่จะบอกว่า ปี ป.5 นี้หนูต้องตั้งใจเรียน และวางแผนการทบทวนให้ดีขึ้นเท่านั้นเองลูก
ลองดูนะลูกนะ … หนูโตขึ้นอีกปี มีบทเรียนจากปี ป.4 ในเรื่องการเรียนในระบบแบบนี้แล้ว ลองหาวิธีใหม่ ๆ ดู อยากให้พ่อ และ แม่ช่วยอะไรตรงไหน บอกได้เสมอ ที่แม่คุยกับหนูตั้งแต่ ป.5 เพราะว่า เราไม่ได้เรียนเข้มข้น เราเรียนกันอย่างสม่ำเสมอ ก็ใช้เวลาเตรียมตัวนานหน่อยเท่านั้นเองลูก ค่อย ๆ ตั้งใจสะสมความพร้อมไปเรื่อย ๆ
เป็นเรื่องราวน่าสนใจสำหรับปลาทูมากว่า แม่กับพ่อก็เคยสอบเข้า ม.1 ตอนนั้นพ่อกับแม่ อ่านหนังสือกันยังไง เรียนกันยังไง ให้พ่อกับแม่เล่าให้ฟังใหญ่เลย ก็กลายเป็นตอนนี้จะลองทำดูบ้าง ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง ? แม่ไม่ได้บอกว่าต้องสอบให้ติด แม่แค่บอกว่า หนูมีเวลาเตรียมตัว 2 ปี ทำให้เต็มที่ ผลลัพธ์ออกมายังไง เราจะยอมรับมันไปด้วยกันนะ เดี่ยวระหว่างนี้แม่จะหาข้อมูลโรงเรียนเอกชนแถวนี้ เตรียมไว้ด้วยเช่นกัน
แม่ยุ้ยปูพื้นฐานการฝึกปลาทูมาตั้งแต่ ป.1 ในเรื่องของการเรียน
- เราให้ลูกจัดตารางสอนเอง ค่อย ๆ สอนเขา ให้รับผิดชอบด้วยตัวเอง
- ทำการบ้าน ต้องคอยดูนะว่าทำครบตามที่จดมาไหม ลูกจดมาแบบไหน ก็ตามนั้น ลืมก็คือลืม แม่ไม่ถามใครให้ ถือว่ามันคือหน้าที่ของลูกเอง
- ครูสั่งให้เอาอะไรไป ต้องบอกแม่ล่วงหน้า และถ้าลืม ก็คือจบ ไปเครียกับครูเอาเอง ไม่มีเวอร์ชั่นวิ่งตามเอาไปให้ที่โรงเรียน
- การบ้าน อันไหนต้องช่วย ก็บอกแม่ บอกพ่อ ต้องช่วยแบบไหนยังไง อธิบายมาลูก แม่ช่วยตามคำขอ พ่อช่วยในสิ่งที่หนูอยากให้ช่วย ไม่ใช่ ทำแทน หรือทำให้
- ตื่นเช้าไปโรงเรียนไม่เคยงอแง อาบน้ำ แต่งตัว กินข้าว ทำด้วยตัวเองหมด ดีบ้าง เละบ้าง ก็ฝึกกันมาเรื่อย ๆ
หลายคนสงสัยว่า ทำไมปลาทูดูเป็นระบบ มีระเบียบ แม่ยุ้ยฝึกยังไง นี่หละคะแบบที่เล่าให้ฟังกันมาเรื่อย ๆ เราสอนให้ลูกทำ ฝึกให้ทำเอง คิดเอง รับผิดชอบตัวเอง บางครั้งก็ต้องยอม ปล่อยให้รับผลเอง พอวันที่เขาโตขึ้น เขาคิดเองได้ รับผิดชอบตัวเองได้ เขาจะเลือกในสิ่งที่ตัวเองต้องการได้ ไม่ใช่ต้องรอฟังคำสั่งจากแม่ จากพ่อ ถึงจะทำได้
บางคนอาจจะมองว่าเราเตรียมความพร้อมลูกไวไปรึเปล่าสำหรับมัธยม .. พวกเราว่าไม่ไวนะ เพราะลูกเราไม่ใช่เด็กวิชาการ ต้องให้เวลาเธอหน่อย เพราะเธอก็จะใช้เวลากับกิจกรรมบันเทิงตามที่เธอชอบใจควบคู่ไปด้วย แต่เราพยายามจะสอนให้ลูกรู้จักจัดสมดุลระหว่างเรื่องเรียนและกิจกรรมให้ดี เพราะมันคือพื้นฐานอย่างหนึ่งที่ สำคัญในการใช้ชีวิต
เราคุยกันเลยว่า เราจะต้องอยู่ในระบบโรงเรียน หรือการศึกษาแบบปกติของประเทศนี้ต่อไป เราไม่มีทุนมากพอที่จะส่งลูกไปเรียนโรงเรียนนอกระบบ โรงเรียนหลักสูตรต่างประเทศในระยะยาว เราจึงคุยกันว่า เราจะหาจุดสมดุลที่เราจะอยู่ในระบบได้อย่างมีความสุข ในแบบที่เราเป็นให้ได้ คำหนึ่งที่แม่ยุ้ยบอกปลาทูว่า แม้เป้าหมายโรงเรียนมัธยมของเราจะเป็นโรงเรียนชื่อดัง แต่แม่ไม่เคยหวังว่าลูกจะต้องเข้าไปเป็นที่หนึ่ง หรือที่เท่าไหร่ แต่แม่แค่อยากให้ลูกไปเรียนไม่เหนื่อย เดินทางไม่นาน และโรงเรียนมีกิจกรรมหลากหลายให้ลูกทำด้วยเช่นกัน เรียนห้องท้าย ๆ แม่ก็แฮปปี้ ถ้าลูกแฮปปี้
แล้วแม่ยุ้ยจะคอยอัพเดทการเตรียมตัว การปรับตัวของปลาทูให้อ่านกันเรื่อย ๆ นะคะ
#แม่ยุ้ยThePlatuStory