ก้าวแรกสู่โรงเรียนใหม่ ช่วงเวลาแห่งการปรับตัว
หลังจากที่สรุปกันได้แล้วว่าจะย้ายโรงเรียนแน่นอน สอบวัดระดับการเรียนจนผ่านเกณฑ์ของทางโรงเรียนแล้ว จากนั้นทางโรงเรียนให้เด็กนักเรียนใหม่ ต้องมาเรียน ซัมเมอร์เป็นเวลา 1 เดือน เพื่อปรับตัวกับสิ่งต่าง ๆ ในโรงเรียน ความตื่นต้นจึงเริ่มต้นขึ้น ไม่ใช่แค่ลูกนะคะบอกเลย แม่กับพ่อก็ตื่นเต้นไม่น้อย เพราะสารพัดความกังวลในใจ มีไม่น้อยเลย แต่ … เราพยายามจะคิดถึงข้อดีที่กำลังจะเกิดขึ้นจากการปรับตัวในครั้งนี้ เพราะเมื่อเรามองข้อดี สิ่งที่ลูกจะได้รับแล้ว ความกังวลหลาย ๆ อย่างก็หายไป เหลือแต่การเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้นเอง
ข้อดีต่าง ๆ ที่เรานับมาพิจารณาเพื่อให้ความกังวลนั้นน้อยลงก็มีเรื่องใหญ่ ๆ ทำนองนี้
★ สถานที่ สภาพแวดล้อมแปลกใหม่ : ลูกคงไม่รู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน ? จะทำตัวยังไง เราแก้ไขเรื่องนี้ด้วยการ ไปส่งลูกวันแรก ทางโรงเรียนอนุญาตให้พ่อแม่อยู่ด้วยได้ ในช่วงก่อนเข้าเรียน แม่ก็พาไปดูว่าห้องน้ำอยู่ตรงไหน ตู้น้ำเย็นอยู่ตรงไหน ห้องเรียนหนูหมายเลขอะไร อยู่ตรงไหน ขึ้นบันไดไหนไป ที่เหลือคือ “ทักษะการแก้ไขปัญหาของลูกแล้วนะ”
★ เพื่อนใหม่หมด ไม่มีคนรู้จักเลย : ก่อนวันที่จะไปเรียนซัมเมอร์ แม่บอกลูกไปว่า การเจอคนใหม่ ๆ ที่ไม่รู้จัก เพื่อนใหม่ เป็นเรื่องปกตินะ เวลาย้ายโรงเรียน ยิ้มไว้ลูก เพื่อนคนไหนคุยด้วย ก็คุยกับเพื่อนนะ เด็ก ๆ รู้จักกันเร็ว แม่คิดว่า ถ้าลูกแม่ปรับตัวเข้ากับเพื่อนได้ตอนนี้ได้ ตอนขึ้น ม.1 ลูกก็จะเจอเหตุการณ์แบบเดียวกัน ถือว่า “ครั้งนี้เป็นการซ้อมใหญ่”
★ ระบบการเรียนที่เปลี่ยนไป : ลูกเรียนแบบ EP มาไม่เน้นวิชาการสักเท่าไรนัก มาที่นี่ เขาเรียนกันเข้มข้นกว่า ที่สำคัญแม่ว่าที่ใหม่มีกฎระเบียบเยอะกว่านะ แม่ไม่หวังว่าลูกแม่จะต้องตามเพื่อนทันในเร็ววัน แต่สิ่งที่ลูกต้องปรับตัวคือ “การทำงานให้เรียบร้อย” ที่เก่าไม่ค่อยได้โฟกัสเรื่อง ความสะอาด ความเป็นระเบียบนัก ซึ่งแม่ว่า วันนี้ ลูกแม่ ป.4 แล้ว ควรจะต้องเริ่มต้น “ฝึกฝน” เรื่องพวกนี้ได้แล้ว เพราะการทำงานสะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อย ถือเป็นการฝึกที่ดี ถ้าติดเป็นนิสัยก็จะเป็นเรื่องที่ดีกับตัวลูก
เดือนแห่งการซัมเมอร์ผ่านไป พร้อมกับประสบการณ์ใหม่ ที่แม่และลูกได้รับคือ
➟ ลูกแม่มีเพื่อนใหม่ตั้งแต่วันแรก
➟ ลูกแม่ได้รู้จักสถานที่ต่าง ๆ ในโรงเรียน เพราะเพื่อน ๆ พาทัวร์
➟ อาหารโรงเรียนอร่อยหลายเมนูเลย กลับมาเล่าแทบทุกวัน
➟ คำหยาบ เกมส์มือถือ และเรื่องที่รู้ก่อนวัย ลูกแม่ได้รู้จากเดิมที่มีบ้าง แต่ไม่เยอะสักเท่าไร แต่สิ่งที่ทำให้ครอบครัวเราได้เรียนรู้คือ “การอธิบายให้ลูกฟัง” เป็นเรื่องที่ดีที่สุด มันดี ไม่ดี ยังไง มันมีผลอย่างไรถ้าลูกทำตามเพื่อน แล้วมันมีผลกับตัวลูกยังไงบ้าง ถ้าทำเรื่องเหล่านี้ ที่เหลือลูกคิดเอานะว่า จะทำหรือไม่ทำ เพราะแม่ไม่ได้ไปอยู่ด้วยตลอดเวลา และที่สำคัญ มีอะไร กลับมาถามพ่อกับแม่ได้ทุกอย่าง เรายินดีที่จะอธิบายทุกอย่างให้ลูกเข้าใจ
➟ การปรับตัวกับเพื่อนที่หลากหลาย ทำให้ลูกได้พบเจอโลกอีกด้านที่ไม่เคยเจอ แม่ได้สอนว่า “เราต้องอยู่ให้ได้ทุกรูปแบบ เพราะเราเลือกไม่ได้ตลอดว่า เราอยากจะเจอแต่คนที่ถูกใจเรา”
เมื่อเปิดเทอมมาถึง หลาย ๆ อย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง
➟ อาหารถูกปาก เป็นมิตรกับตู้ขายไอติมที่โรงเรียนมากเป็นพิเศษ ไปซัมเมอร์ซื้อกินทุกวัน ไปเรียนเปิดเทอมอาทิตย์แรกก็กินไอติมทุกวันเลย
➟ ช่วยครูประจำชั้นทำความสะอาดห้อง ทำเวรทุกวัน
➟ กลับมาบอกแม่ว่า “หนูมีเพื่อนใหม่ทั้งห้องเลยแม่” คำนี้ทำเอาแม่หายห่วง
➟ การบ้านเยอะกว่าที่เก่านะแม่ เขียนแล้วเมื่อยมือเลย แต่หนูก็พอทำเองได้นะ
➟ ที่โรงเรียนมีชมรมใหม่ ๆ ที่หนูอยากเข้า อยากเรียนโขน อยากเล่นแก้ว stack อยากโน้นนี่ มากมาย
➟ เรียนวิทยาศาสตร์สนุกมาก ครูใช้วีดีโอเข้ามาช่วยสอน ในห้องเรียนมีสมาร์ทบอร์ดทุกห้อง เนื้อหาที่ดูเหมือนจะเรียนเข้มข้น แต่พอใช้สื่ออื่น ๆ เข้าช่วยให้เด็กสนใจ ก็ดูไม่เครียดนะ
ผ่านมาแล้ว 1 ซัมเมอร์ และไปเรียนเปิดเทอมมาเกือบเดือน ทำให้แม่ยุ้ยสรุปหลาย ๆ อย่างได้ว่า “ลูกสามารถเผชิญหน้ากับความเป็นจริงได้เป็นอย่างดี” และหลายอย่างเราเองกังวลมากเกินไปด้วยความเป็นแม่ สุดท้ายลูกสามารถจัดการได้ด้วยตัวเองอย่างไม่น่าเชื่อ รวมถึงการรับมือกับเด็กแสบ ๆ ในห้องที่ “รับน้องใหม่” ด้วยการแหย่กันบ้าง แกล้งกันบ้าง ปลาทูกลับมาบอกว่า หนูจัดการได้แล้วนะแม่ รู้แล้วว่า ทำแบบไหนเค้าจะไม่มาแกล้งหนู แล้วลูกก็มีแก๊งค์เพื่อน ๆ ชวนกันไปท่องศัพท์ ท่องงานตอนเช้า ขอให้ไปส่งเช้า ๆ หน่อย จะไปต่อแถวท่องงานกับเพื่อน
ลูกแม่ดูโตขึ้น รับผิดชอบงานเองได้มากขึ้น และงานของที่โรงเรียนนี้ ค่อนข้างต้องใช้การหาข้อมูล การนำเสนอมากกว่าสมัยที่เรียนที่เก่า ก็ดูลูกสนใจที่จะทำ ถึงแม้จะทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ผิดบ้าง ถูกบ้าง แต่ก็ยังรู้สึกอยากทำเองอยู่
ครอบครัวเรายังคงนโยบายเดิม คือ เรียนให้สนุก ทำให้เต็มที่ คะแนนไม่ใช่ตัววัดผลทั้งหมด : เราก็ยังคงใช้แนวคิดเรา อยู่ท่ามกลางโรงเรียนที่เรียนเข้มข้นขึ้นกว่าเดิม การบ้านเยอะกว่าเดิม แต่ลูกเรียนรู้ที่จะทำการบ้านพร้อมเพื่อน ๆช่วงเวลาพัก ระหว่างรอพ่อไปรับ กลายเป็นว่า แม่ได้เห็นมุมใหม่ ๆ ของปลาทูมากขึ้น
ในเมื่อวันนี้เราเลือกด้วยกันมาแล้ว … เราก็จะอยู่กับสิ่งที่เราเลือกอย่างมีความสุขให้ได้ ตราบใดที่แม่ยังส่งลูกไปเรียนประเทศอื่นไม่ได้ แม่ก็จำเป็นต้องสอนแนวคิดให้ลูกเรียนกับระบบการศึกษาของประเทศนี้ให้ได้อย่างมีความสุข วันที่เราจำเป็นต้องแข่งขัน เราก็แข่งกับเขาได้ ถึงจะไม่ได้หวังชัยชนะ หรือผลสำเร็จอะไร เราหวังแค่ “เราทำให้เต็มที่ด้วยความสุขในแบบฉบับของเราเท่านั้นเอง”
#แมุ่ย้ยThePlatuStory