ไปสอบพรีเทสมา ได้อะไรบ้าง ?
ถ้าได้ติดตามกันมาจะพอรู้ว่า บ้านเรามีเป้าหมายในการสอบเข้าโรงเรียนบดินทร์เดชา สิงห์ สิงหเสนี { ถ้ายังไม่ได้อ่าน มีลิงค์แปะไว้ให้ด้านล่างนี้นะคะ } เราชวนลูกวางแผนการเรียนมัธยมกันตั้งแต่ปิดเทอมก่อนจะขึ้น ป.5 และ ณ วันที่แม่ยุ้ยเล่าเรื่องนี้ให้ทุกคนฟังคือ ปิดเทอมที่กำลังจะขึ้น ป.6 ค่ะ
การที่เราต้องให้ลูกสอบแข่งขันเพื่อเข้าเรียน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตปลาทูเลย แน่นอนว่า มันเป็นเรื่องแปลกใหม่ เป็นเรื่องที่ไม่เคยทำมาก่อน และเป็นเรื่องที่อาจจะไม่ถูกใจเด็กสายบันเทิง ที่เน้นกิจกรรมเป็นหลัก แม่ยุ้ยรู้อยู่ว่าลูกเป็นยังไง จึงต้องค่อย ๆ ใช้เวลาในการเตรียมตัวลูกค่อนข้างนาน ค่อยๆ อธิบาย ค่อย ๆ เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตพ่อและแม่เกี่ยวกับการต้องสอบเข้าให้ลูกฟัง และจนปีนี้ เรามีเวลาเตรียมตัวอีก 1 ปี ก่อนจะถึงวันลงสนามจริง
แม่ยุ้ยชวนปลาทูให้ไปสอบ Pre-test ค่ะในตอนที่อยู่ ป.5 ด้วยจุดประสงค์ให้ลูกได้รู้จักโรงเรียน ได้ไปเห็นสถานที่จริง ๆ ได้ไปดูว่าโรงเรียนอยู่ตรงไหน และได้เห็นว่า ถ้าจะต้องสอบกัน ข้อสอบที่ต้องเจอคือประมาณไหนยังไง ยังไม่ได้คิดว่าถึงผลสอบลูกเลย เพราะ ไม่ได้มีการทบทวนอะไรกันเป็นพิเศษ เรียกว่าไปกันแบบ “วัดใจ” มากกว่า เอาพื้นฐานที่เรียนมาตั้งแต่เราย้ายโรงเรียนกันมาจากระบบสองภาษามาเรียนโรงเรียนเอกชนธรรมดานี่หละคะ จะได้รู้ว่า พื้นฐานที่ลูกเรามี เป็นอย่างไรกันบ้าง แล้วจะได้เตรียมตัวในการ ปรับปรุง เพิ่มเติม กันได้
ในมุมของแม่และพ่อ ก็จะได้รู้ช่วงเวลาของการสอบของลูกในปีที่ต้องสอบจริง ๆ จะได้กะเวลาในการเตรียมตัวกันได้ ได้รู้ว่าโรงเรียนจะรับนักเรียนประมาณกี่คน มีกี่ห้อง และมีห้องเรียนแบบไหนกันบ้าง จะได้วางแผนกันแต่เนิ่น ๆ สำหรับสิ่งที่ลูกเราจะเรียนได้
ปลาทูน้อยของแม่ ไม่เคยเข้าห้องสอบลักษณะแบบนี้เลย ได้เห็นเพื่อน ๆ พี่ ๆ และน้อง ๆ มาสอบกันเยอะมาก มีเพื่อนจากห้องเดียวกันมาสอบด้วยอีก 2 คน ซึ่งบรรยากาศที่แม่ยุ้ยเห็นในวันนั้นต้องบอกว่า ที่นี่ เป็นเป้าหมายของหลาย ๆ ครอบครัวจริง ๆ และเป็นเป้าหมายที่ ผู้ลงสนามสอบ เตรียมตัวกันมาอย่างเข้มข้น บางคนที่แม่รู้มาคือ เรียนพิเศษกันมาตั้งแต่ ป.4 และก็มีเด็ก ป.4 มาสอบกันด้วย ทุกบ้านมีเป้าหมายและวิธีการที่แตกต่างกันนะคะ อันนี้ต้องบอกเลยว่า เราก็มีเป้าหมายและเหตุผลของเราเช่นกัน และวิธีการในการถึงเป้าหมายของเราก็อาจจะไม่เหมือนใครในบางส่วน และอาจจะเหมือนกันในบางส่วนเช่นกัน
แม่ยุ้ยพาปลาทูเดินดูรอบ ๆ แล้วชวนลูกคุยว่า หนูชอบไหมโรงเรียนนี้ ถ้าดูจากสถานที่ เด็กบอกว่า โอ้โหแม่ โรงเรียนใหญ่มาก คือโรงเรียนหนูเนี่ยเล็กจิ๊ดเดียวไปเลย แล้วแม่ก็บอกว่า ทีนี่เขามีนักเรียนตั้งแต่ ม.1 – ม.6 เลยลูก ถ้าหนูเรียนที่นี่ แล้วหนูตั้งใจจะเรียนในสายสามัญ หนูก็จะเรียนทีนี่ได้ยาวจนถึง ม.6 เลย แต่ถ้าจะออกไปเรียนสายอาชีพ ก็เรียนกันแค่ ม.3 อันนั้นเอาไว้ว่ากันอีกที แต่แม่จะบอกว่า สอบเข้าครั้งนี้ได้ ก็อยู่ไปอย่างน้อย 3 ปี อย่างมากสุด 6 ปีเลยลูก
และตามประสาบ้านเราค่ะ สำรวจอาหารการกินกันก่อน พาลูกเดินโรงอาหาร อยากกินอะไรไหนลองดูกัน ราคาอาหารจานละเท่าไหร่ โรงอาหารกว้างใหญ่มากมาย ไฮท์ไลน์ของบ้านเราอยู่ที่ตรงนี้หละคะ
ปลาทู : แม่ ๆ ถ้าหนูสอบติดที่นี่ หนูจะได้เอาเงินมาซื้อข้าวกินเองแล้วใช่ไหม ?
แม่ : ใช่ซิลูก พอโตเป็นพี่มัธยมแล้ว ซื้อกินเองแล้วทีนี้ อยากกินอะไรต้องเลือกเอาเอง
ปลาทู : โอเคแม่ … หนูจะสอบให้ได้ หนูอยากซื้อข้าวกินเอง โรงอาหารมีทีวีให้ดูด้วย ดี๊ดี
แรงบันดาลใจเป็นสิ่งสำคัญเสมอ แม้มันอาจจะดูไม่ยิ่งใหญ่สำหรับใคร ๆ แต่ถ้ามันยิ่งใหญ่สำหรับเรา เราจะมีแรงขับเคลื่อนฝันนั้นต่อไป
แม้ฝันของลูกสาวแม่ จะเป็นเรื่องการได้ซื้ออาหารกินเอง แม่ก็ดีใจ ที่ลูกมีแรงบันดาลใจในเรื่องนี้แล้ว
และอีกเรื่องหนึ่งคือ ถ้าลูกสอบติด เราจะเดินทางมาโรงเรียนใกล้มาก บ้านเราอยู่ซอยตรงข้ามทางเข้าทางหนึ่งของโรงเรียนนี้ แม่จะต้องซื้อมอเตอร์ไซต์ให้พ่อขับมาส่ง เพราะถ้าเอารถยนต์มา อาจจะใช้เวลามากเกินไป เพราะถนนลาดพร้าวในช่วงเวลานี้ มีการสร้างรถไฟฟ้า ติดแค่ไหน ใครอยากรู้ มาลองดูสักวัน แล้วจะเข้าใจ แต่เราก็ต้องปรับตัว วางแผนกันเพื่ออนาคตที่จะสะดวกสบายขึ้น อีกหน่อยจะมีรถไฟฟ้าผ่านหน้าปากซอยบ้าน
ขึ้นไปสอบเอง แม่ไปส่งแค่ตรงเข้าแถวรอรายงานตัว เดินกลับมาหน้างอ คอหักลงมาเลยจ้า พร้อมกับบ่นยับว่า แม่อะ เขาให้สอบตั้งแต่ 9 โมงถึงเที่ยงเลย ห้ามออกจากห้อง น๊านนาน นั่งจนเมื่อยเลย แอร์ก็เย็น นี่ไง จุดเริ่มต้นในการรู้จัก “อดทน” และได้เห็นแล้วว่า เราคงต้องฝึกกันสักหน่อยกับการนั่งทำข้อสอบยาว ๆ แบบนี้
ผลสอบของ เด็กหญิงปลาทู ออกมาดีเกินคาดมากมายสำหรับแม่ยุ้ย เพราะบอกตามตรงว่า ไม่ได้คาดหวังอะไรเลยค่ะ เพราะไม่ได้เตรียมติวอะไรกัน มาแบบวัดใจล้วน ๆ ลูกสอบได้คะแนน 1 ใน 3 คิดง่าย ๆ คะแนนเต็ม 300 คะแนน ปลาทูสอบได้ 100 คะแนน ซึ่งแม่แอบคิดไว้ในใจว่าถ้าได้สัก 50 แม่ก็ดีใจแล้ว เพราะสายอินดี้ของเรา วิชาการนั้นไม่ได้แข็งแกร่งเลย พิเศษก็เรียนแต่เฉพาะที่สอบเข้าโครงการติวฟรีของโรงเรียนตอนเช้าได้ ซึ่งก็ได้เห็นประโยชน์ของโครงการที่โรงเรียนจัดจริง ๆ เพราะ 2 วิชาที่ปลาทูไปเรียนตอนเช้า ๆ เพิ่ม คือ 2 วิชาที่ทำคะแนนได้ดีกว่าวิชาอื่น ๆ *โรงเรียนติวให้ฟรีนะคะ ไม่ได้คิดเงินผู้ปกครองเลย แค่ต้องให้เด็กไปเรียนตอน 7.30 น ของทุกวันก่อนเข้าแถวจนครบโครงการ
ถือว่าพวกเราได้รับรู้หลาย ๆ เรื่องที่ต้องการรู้จากการสอบ pre-test แล้วนะคะ สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากผลสอบออก ก็มีหลายแง่มุม ลูกคุยกับเพื่อนที่ไปสอบด้วยกัน เพื่อน ๆ ได้คะแนนดีแบบดีมาก ทั้งคู่เรียนพิเศษมาตลอดตั้งแต่ ป.4 ลูกกลับมาคุยกับแม่ว่า เพื่อนหนูเขาทำข้อสอบได้ดีมากเลยอ่ะแม่ ได้ลำดับที่ดีมาก นี่หนูก็ลองถามนะว่า เขาทำยังไง อ่านหนังสือแบบไหน เพื่อนก็บอกมาว่า เขาเรียนพิเศษวิชาอะไรบ้าง แล้วก็เปิดสื่อดู เดี๋ยวหนูว่าจะลองเปิดดูบ้าง
แม่เริ่มเห็นกระบวนการคิดที่แตกต่างออกไปของลูก … ได้เห็นว่าเพื่อนมีอิทธิพลเหมือนกัน แม่ก็เลยชวนคุยว่า คำที่โบราณบอกว่า คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล มันเป็นแบบนี้นั่นหละลูก ปลาทูสนิทกับน้องสองคนที่ไปสอบด้วยกันมากขึ้น ชวนกันคุย ชวนกันอ่านหนังสือ แต่ที่น่ารักคือ เพื่อนทั้งสองคนนี้เป็นเด็กเรียนดี ที่เล่นสนุก แล้วไม่เกเร นิสัยน่ารัก เล่นดนตรีด้วย คือไม่ได้เรียนอย่างเดียว ลูกแม่ก็จะเป็นหนึ่งในสมาชิกแก๊งค์นี้ ดูแฮปปี้มาก เริ่มมีเรื่องราวเกี่ยวกับการเรียนกลับมาเล่า แต่ลูกก็ยังทำกิจกรรมที่ชอบได้เหมือนเดิม
ปิดเทอมใหญ่นี้ ก็เริ่มมีการคุยกันว่า เราคงต้องอ่านหนังสือกันให้มากขึ้นหน่อยนะลูก ส่วนเรื่องเรียนพิเศษ ถ้าสอบเข้าโครงการของโรงเรียนได้อีกก็เรียนไปนะ เดี๋ยวแม่จะลองให้เรียนพิเศษตอนเย็นที่โรงเรียนเปิดคอร์สสำหรับเตรียมตัวสอบเข้า ม.1 ดู รอเปิดเทอมแล้วมาคุยกันอีกที ส่วนการเรียนพิเศษตามสถาบันต่าง ๆ นั้น แม่ว่า รอดูไปก่อนสักเทอมนึงนะ ว่าเป็นยังไง
#แม่ยุ้ยThePlatuStory